วัย 50+ กินอย่างไรให้แข็งแรง
คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อะไร ๆ ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุ 50 ปี ขึ้นไป ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาวะร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้น อาจจะส่งผลถึงคุณภาพชีวิตในร่างกาย หัวใจ สมอง ระบบย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหารจะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่ออายุย่างเข้า 50 โรคภัยต่าง ๆ จะเข้ามารุมเร้า ที่เป็นปัญหาพบบ่อยในผู้สูงอายุคงหนีไม่พ้นโรคหัวใจและหลอดเลือดความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือแม้แต่โรคต้อกระจก โรคกระดูกพรุน และอาการปวดตามข้อต่าง ๆ
เมื่อวัยที่เพิ่มขึ้น ร่างกายมีโอกาสในการขาดสารอาหารมากขึ้น
ด้วยสาเหตุใหญ่ 3 ประการ
1. ภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงทางร่างกาย (Physiological change) ถึงแม้ปัจจุบันสุขอนามัยที่ดีขึ้นหรือความเอาใจใส่ทางด้านสุขภาพที่มากขึ้น แต่เวลาที่ไม่เคยคอยใครก็ย่อมทำให้ความเสื่อมต่าง ๆ ทางร่างกายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น
Ø เหงือกและฟันไม่ดี ทำให้วัยนี้ต้องลดการรับประทานอาหารหรือเปลี่ยนไปทานอาหารที่หุงต้มจนเปื่อย ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ไปมากในระหว่างการปรุงอาหาร
Ø ระบบย่อยอาหารทำงานลดลง เนื่องจากการหลั่งของน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร และน้ำดีลดลง อาหารที่ทานเข้าไปจึงไม่สามารถถูกย่อยและดูดซึมเอาไปใช้ได้อย่างเต็มที่
2. ภาวะทางอารมณ์และสังคม (Social and Mentality change) ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เช่น เสียใจ หงุดหงิด จิตใจหดหู่ หรือการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ กิจกรรมที่ทำลดลงเหล่านี้อาจจะทำให้ความอยากอาหารลดลง จึงเป็นสาเหตุที่สำคัญอันหนึ่งที่เพิ่มโอกาสการขาดวิตามินและเกลือแร่
3. ปฏิกิริยาระหว่างยากับวิตามินและเกลือแร่ (drugnutrient interaction) วัยที่มากขึ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นโรคติดเชื้อ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งโรคส่วนใหญ่ที่คนวัยนี้เป็นมักจะเป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลานาน ซึ่งมียาบางประเภทอาจรบกวนหรือขัดขวางการดูดซึมของวิตามินและเกลือแร่ได้ เช่น
Ø ยาฆ่าเชื้อกลุ่มซัลฟา จะขัดขวางการดูดซึมของกรดโฟลิค
Ø ยาปฏิชีวนะ เช่น นีโอไมซิน จะยับยั้งการหลั่งน้ำมันย่อยไขมัน ทำให้การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันลดลง
Ø ยารักษาโรคเก๊าท์ รบกวนการดูดซึมของแคโรทีน และวิตามินบี 12
โภชนาการที่สมดุลสำหรับวัย 50 ปีขึ้นไป
ภาวะโภชนาการเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากในวัย 50 ปีขึนไป เพราะการได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ อย่างครบถ้วน สมดุล โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง ไม่ติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย และร่างกายจะมีความสามารถในด้านการต้านโรคร้ายต่าง ๆ รวมถึงสามารถป้องกันและชะลอความเสื่อมของร่างกายและจิตใจได้ การเสริมด้วยวิตามินและเกลือแรวมจะช่วยทำให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุได้รับสารอาหรพื้นฐานตามที่ร่างกายต้องการ รวมทั้งมีผลการศึกษาว่าการเสริมวิตามินรวมจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและลดการติดเชื้อในผู้สูงอายุได้ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลดลง ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนวัย 50 ปีขึ้นไปนั้นดีขึ้น ซึ่งสารอาหารที่ต้องการในวัย 50 ปีขึ้นไป จะมีความแตกต่างกับสารอาหารบางชนิดมากขึ้นและสารอาหารบางชนิดลดลง
นักวิยาศาสตร์จากสถาบันโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุจาก มหาวิทยาลัยทัฟฟ์ บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำการเสริมอาหารเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
เบต้าแคโรทีน วิตามินอี วิตามินซี ที่จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคต้อกระจก
วิตามินอี สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ไม่เกิดอาการแพ้และคันตามร่างกาย
วิตามินเค เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในปัจจัยที่ทำให้เลือดแข็งตัว ซึ่งพบว่าวัย 50 ปีขึ้นไปที่รับประทานยาฆ่าเชื้อ เช่น ยากลุ่มซัลฟา นีโอมัยซิน มักจะมีโอกาสขาดวิตามินนี้ได้
กลุ่มวิตามินบี โดยเฉพาะบี 12 ที่ทำงานร่วมกับกรดโฟลิค ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดป้องกันโรคโลหิตจางได้ นอกจากนี้กรดโฟลิคยังทำงานร่วมกับวิตามิน บี6,บี12 ในการลดระดับโฮโมซีสเตอีนที่มีส่วนเร่งทำให้หลอดเลือดตีบตัน มีผลทำลายเยื่อบุหลอดเลือด และกระตุ้นให้เกิดการแข็งตัวของเลือด ซึ่งมักจะพบว่ามีระดับสูงในคนไข้โรคหัวใจ ฉะนั้นการเลือกรับประทานผักใบเขียวต่าง ๆ ตับและถั่ว จพทำให้เราได้รับกรดโฟลิคที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจได้
กลุ่มแร่ธาตุหลัก เช่น แคลเซียม ช่วยรักษาเนื้อกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน สำหรับวัย 50 ปีขึ้นไปควรได้รับ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน สังกะสี ช่วยป้องกันการติดเชื้อเพิ่มภูมิต้านทาน และแร่ธาตุกลุ่ม Trace element ซึ่งร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ขาดไม่ได้ เช่น โครเมียม และ วานาเดียม ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล โบรอนจำเป็นต่อการสร้างเนื้อมวลกระดูก
ซิลิกอน โมลิบดีนัม และซีลีเนียม ที่เป็นแร่ธาตุจำเป็นพื้นฐานต่อการทำงานของร่างกาย
ข้อแนะนำอื่น ๆ ในการบริโภค
· ทานอาหารให้เป็นเวลาสม่ำเสมอ ไม่ควรงดเว้นมื้อใดมื้อหนึ่งและทานอาหารที่หลากหลายไม่จำเจ
· แนะนำให้ทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ไม่ควรทานอาหารเป็นปริมาณมาก ๆ ในแต่ละมื้อ เนื่องจากประสิธิภาพที่ลดลงของระบบการย่อยและการดูดซึมอาจจำเป็นต้องได้รับอาหารระหว่างมื้อ เพื่อช่วยให้ได้รับพลังงานที่เพียงพอ
· อาหารที่ทานควรเป็นอาหารที่เคี้ยวง่าย กลืนและย่อยได้ง่ายเนื่องจากการหลั่งของน้ำย่อยและน้ำลายลดลง ทั้งนี้ควรลดอาหารที่มีรสจัด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาของระบบการย่อยอีกด้วย
· ลดการทานอาหารเค็มจัด เช่น อาหารหมักดอง อาหารที่มีซอสปรุงรส โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เพื่อป้องกันความดันโลหิตสูง อาการบวมน้ำ และในผู้ที่เป็นโรคหัวใจเพื่อไม่ให้หัวใจต้องทำงานหนัก
· ลดการบริโภคไขมัน เนื่องจากความต้องการพลังงาน ซึ่งได้จากไขมันลดลง จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น
ลดอาหารทอดกรอบ อาหารที่ผัดน้ำมัน เนื้อสัตว์ติดหนังและมัน รวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยกะทิ ไอศกรีมและเบเกอรี่
สรุปได้ว่าการได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะได้รับจากการโภชนาการที่ดี หรือการเสริมด้วยวิตามินเป็นประจำ ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ชอบร่วมกับลูกหลาน ไม่เครียด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า นอนหลับให้เพียงพอ เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวอย่างมีความสุขและมีชีวิตที่มีคุณค่าทำประโยชน์ให้สังคมได้อีกนาน
No comments:
Post a Comment