Goo

Can't find topic? find it here

Wednesday, September 3, 2008

Eat well when 50 years up

วัย 50+ กินอย่างไรให้แข็งแรง

                คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อะไร ๆ ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุ 50 ปี ขึ้นไป  ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาวะร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้น  อาจจะส่งผลถึงคุณภาพชีวิตในร่างกาย  หัวใจ  สมอง  ระบบย่อยอาหาร  การดูดซึมสารอาหารจะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง

                ไม่เพียงเท่านั้น  เมื่ออายุย่างเข้า 50 โรคภัยต่าง ๆ จะเข้ามารุมเร้า  ที่เป็นปัญหาพบบ่อยในผู้สูงอายุคงหนีไม่พ้นโรคหัวใจและหลอดเลือดความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน  โรคมะเร็ง  หรือแม้แต่โรคต้อกระจก  โรคกระดูกพรุน  และอาการปวดตามข้อต่าง ๆ

 

 

เมื่อวัยที่เพิ่มขึ้น  ร่างกายมีโอกาสในการขาดสารอาหารมากขึ้น

ด้วยสาเหตุใหญ่ 3 ประการ

                1.  ภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงทางร่างกาย (Physiological change) ถึงแม้ปัจจุบันสุขอนามัยที่ดีขึ้นหรือความเอาใจใส่ทางด้านสุขภาพที่มากขึ้น แต่เวลาที่ไม่เคยคอยใครก็ย่อมทำให้ความเสื่อมต่าง ๆ ทางร่างกายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น

Ø เหงือกและฟันไม่ดี ทำให้วัยนี้ต้องลดการรับประทานอาหารหรือเปลี่ยนไปทานอาหารที่หุงต้มจนเปื่อย  ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ไปมากในระหว่างการปรุงอาหาร

Ø ระบบย่อยอาหารทำงานลดลง  เนื่องจากการหลั่งของน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร  และน้ำดีลดลง อาหารที่ทานเข้าไปจึงไม่สามารถถูกย่อยและดูดซึมเอาไปใช้ได้อย่างเต็มที่

2.  ภาวะทางอารมณ์และสังคม (Social and Mentality change) ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์  เช่น เสียใจ หงุดหงิด จิตใจหดหู่  หรือการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้ชีวิตความเป็นอยู่  กิจกรรมที่ทำลดลงเหล่านี้อาจจะทำให้ความอยากอาหารลดลง  จึงเป็นสาเหตุที่สำคัญอันหนึ่งที่เพิ่มโอกาสการขาดวิตามินและเกลือแร่

3.  ปฏิกิริยาระหว่างยากับวิตามินและเกลือแร่ (drugnutrient interaction) วัยที่มากขึ้น  ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็มักจะเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว  เช่นโรคติดเชื้อ  โรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง  โรคหัวใจและหลอดเลือด  ซึ่งโรคส่วนใหญ่ที่คนวัยนี้เป็นมักจะเป็นโรคเรื้อรัง  ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลานาน ซึ่งมียาบางประเภทอาจรบกวนหรือขัดขวางการดูดซึมของวิตามินและเกลือแร่ได้ เช่น

Ø ยาฆ่าเชื้อกลุ่มซัลฟา  จะขัดขวางการดูดซึมของกรดโฟลิค

Ø ยาปฏิชีวนะ  เช่น  นีโอไมซิน  จะยับยั้งการหลั่งน้ำมันย่อยไขมัน  ทำให้การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันลดลง

Ø ยารักษาโรคเก๊าท์  รบกวนการดูดซึมของแคโรทีน และวิตามินบี 12

 

โภชนาการที่สมดุลสำหรับวัย 50 ปีขึ้นไป

                    ภาวะโภชนาการเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากในวัย 50 ปีขึนไป  เพราะการได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ อย่างครบถ้วน สมดุล  โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่จะมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง  ไม่ติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย  และร่างกายจะมีความสามารถในด้านการต้านโรคร้ายต่าง ๆ รวมถึงสามารถป้องกันและชะลอความเสื่อมของร่างกายและจิตใจได้  การเสริมด้วยวิตามินและเกลือแรวมจะช่วยทำให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุได้รับสารอาหรพื้นฐานตามที่ร่างกายต้องการ  รวมทั้งมีผลการศึกษาว่าการเสริมวิตามินรวมจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและลดการติดเชื้อในผู้สูงอายุได้  ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลลดลง  ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนวัย 50 ปีขึ้นไปนั้นดีขึ้น  ซึ่งสารอาหารที่ต้องการในวัย 50 ปีขึ้นไป  จะมีความแตกต่างกับสารอาหารบางชนิดมากขึ้นและสารอาหารบางชนิดลดลง

                    นักวิยาศาสตร์จากสถาบันโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุจาก  มหาวิทยาลัยทัฟฟ์ บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำการเสริมอาหารเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

 

                    เบต้าแคโรทีน วิตามินอี วิตามินซี  ที่จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ และหลอดเลือด  โรคต้อกระจก

            วิตามินอี  สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ไม่เกิดอาการแพ้และคันตามร่างกาย

                    วิตามินเค  เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในปัจจัยที่ทำให้เลือดแข็งตัว  ซึ่งพบว่าวัย 50 ปีขึ้นไปที่รับประทานยาฆ่าเชื้อ  เช่น ยากลุ่มซัลฟา  นีโอมัยซิน  มักจะมีโอกาสขาดวิตามินนี้ได้

                    กลุ่มวิตามินบี โดยเฉพาะบี 12 ที่ทำงานร่วมกับกรดโฟลิค  ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดป้องกันโรคโลหิตจางได้  นอกจากนี้กรดโฟลิคยังทำงานร่วมกับวิตามิน บี6,บี12  ในการลดระดับโฮโมซีสเตอีนที่มีส่วนเร่งทำให้หลอดเลือดตีบตัน มีผลทำลายเยื่อบุหลอดเลือด  และกระตุ้นให้เกิดการแข็งตัวของเลือด  ซึ่งมักจะพบว่ามีระดับสูงในคนไข้โรคหัวใจ  ฉะนั้นการเลือกรับประทานผักใบเขียวต่าง ๆ ตับและถั่ว จพทำให้เราได้รับกรดโฟลิคที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของหัวใจได้

                    กลุ่มแร่ธาตุหลัก เช่น แคลเซียม  ช่วยรักษาเนื้อกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน  สำหรับวัย 50 ปีขึ้นไปควรได้รับ 1,000-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน  สังกะสี ช่วยป้องกันการติดเชื้อเพิ่มภูมิต้านทาน  และแร่ธาตุกลุ่ม Trace element ซึ่งร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ขาดไม่ได้  เช่น โครเมียม และ วานาเดียม  ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล โบรอนจำเป็นต่อการสร้างเนื้อมวลกระดูก

ซิลิกอน โมลิบดีนัม และซีลีเนียม  ที่เป็นแร่ธาตุจำเป็นพื้นฐานต่อการทำงานของร่างกาย 

 

ข้อแนะนำอื่น ๆ ในการบริโภค

·       ทานอาหารให้เป็นเวลาสม่ำเสมอ  ไม่ควรงดเว้นมื้อใดมื้อหนึ่งและทานอาหารที่หลากหลายไม่จำเจ

·       แนะนำให้ทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ  ไม่ควรทานอาหารเป็นปริมาณมาก ๆ ในแต่ละมื้อ  เนื่องจากประสิธิภาพที่ลดลงของระบบการย่อยและการดูดซึมอาจจำเป็นต้องได้รับอาหารระหว่างมื้อ  เพื่อช่วยให้ได้รับพลังงานที่เพียงพอ

·       อาหารที่ทานควรเป็นอาหารที่เคี้ยวง่าย  กลืนและย่อยได้ง่ายเนื่องจากการหลั่งของน้ำย่อยและน้ำลายลดลง  ทั้งนี้ควรลดอาหารที่มีรสจัด  เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาของระบบการย่อยอีกด้วย

·       ลดการทานอาหารเค็มจัด  เช่น  อาหารหมักดอง  อาหารที่มีซอสปรุงรส  โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง  เพื่อป้องกันความดันโลหิตสูง  อาการบวมน้ำ  และในผู้ที่เป็นโรคหัวใจเพื่อไม่ให้หัวใจต้องทำงานหนัก

·       ลดการบริโภคไขมัน  เนื่องจากความต้องการพลังงาน  ซึ่งได้จากไขมันลดลง  จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน  เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด  เช่น 

ลดอาหารทอดกรอบ  อาหารที่ผัดน้ำมัน  เนื้อสัตว์ติดหนังและมัน รวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยกะทิ ไอศกรีมและเบเกอรี่

                                สรุปได้ว่าการได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์  ไม่ว่าจะได้รับจากการโภชนาการที่ดี  หรือการเสริมด้วยวิตามินเป็นประจำ  ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ทำกิจกรรมที่ชอบร่วมกับลูกหลาน  ไม่เครียด  ไม่สูบบุหรี่  ไม่ดื่มเหล้า  นอนหลับให้เพียงพอ  เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป  มีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวอย่างมีความสุขและมีชีวิตที่มีคุณค่าทำประโยชน์ให้สังคมได้อีกนาน

Sunday, August 31, 2008

snoring status

ชนิดแรกเป็นชนิดที่ไม่เป็นอันตราย
ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญให้ผู้ที่อยู่ใกล้กลุ่มนี้มักมี การอุดกั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเวลาเรานอนหลับสนิทจะเป็นเวลาที่กล้ามเนื้อต่างๆ คลายตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคอด้วย ทำให้ลิ้นและลิ้นไก่ตกไปทางด้านหลังโดยเฉพาะในท่านอนหงาย ทำให้ทางเดินหายใจส่วนนี้ตีบแคบลง เวลาหายใจเข้าผ่านตำแหน่งที่แคบ จะทำให้มีการสั่นสะเทือนของลิ้นไก่ และเพดานอ่อน หรือโคนลิ้น ทำให้เกิดเป็นเสียงกรนขึ้น
ชนิดที่สองเป็นการนอนกรนที่เป็นอันตรายเกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลาหลับ อาจเนื่องจากการที่มีช่องคอแคบมาก เช่น มีเนื้อเยื่อเพดานอ่อน, ลิ้นไก่ หรือโคนลิ้นขนาดใหญ่ และหย่อนยาน หรือเกิดจากต่อมทอมซินที่โตมากจนอุดกั้นช่องคอ หรือบางรายที่มีกระดูกใบหน้าหรือ กรามเล็กทำให้ช่องทางเดินหายใจด้านหลังแคบกว่าปกติ หรือคนที่มีคางสั้นทำให้ลิ้นตกไปทางด้านหลังมากกว่าคนปกติ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดำ และค่อยสลับกันเป็นช่วงๆ และจะกรนดังขึ้นเรื่อยๆ และจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจนี้ จะทำให้เกิดอันตราย เนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลง ทำให้เกิดความผิดปกติ ในการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด หัวใจ และสมอง เป็นต้น


ร่างกายจะมีกลไกตอบสนองต่อภาวะนี้ โดยสมองจะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น ทำให้การหลับของคนนอนกรนนั้นถูกขัดขวาง ทำให้ตื่นขึ้นเพื่อหายใจใหม่ โดยมีอาการสะดุ้งตื่นเหมือนสะดุ้งเฮือก หรืออาการเหมือนสำลักน้ำลายตนเอง หรือหายใจอย่างแรงเหมือนขาดอากาศ
เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอีก หลังจากนั้นไม่นานสมองก็เริ่มหลับอีก การหายใจก็จะเริ่มติดขัดอีกทำให้สมองต้องถูกปลุก หรือกระตุ้นอีก การกลับก็จะถูกขัดขวางอีก วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้การนอนหลับสนิทของคนที่นอนกรนไม่ต่อเนื่องเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ดังนั้นคนนอนกรนจึงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่านอนไม่พอ แม้ว่าจะนอนเป็นจำนวนชั่วโมงที่มากพอก็ตาม รวมทั้งยังเป็นผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ปอด และสมอง



www.saintmedical.com/ index.php?tpid=0009(sourced
)

Why doesn't he obtain Antihypertensives medicine

 
 

ในการรณรงค์และส่งเสริมสุขภาพที่หน่วยงานทางราชการหลายแห่งกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน มีเรื่องความดันโลหิตสูงเป็นเรื่องที่ส่งเสริมกันอยู่ เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาอันได้แก่ โรคไตวาย(เรื้อรัง) , โรคหัวใจ(ขาดเลือด) , โรคเส้นเลือดสมองแตกหรือตีบ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อตรวจพบว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ที่ให้การรักษาก็จะนำเสนอวิธีต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถลดความดันโลหิตของตนได้ ซึ่งจะช่วยทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนลดลงไป

 

แต่จากการสังเกตทั้งโดยตัวผมเองและแพทย์หลายท่านต่างพบเห็นลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือผู้ที่มารับการรักษายังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงด้วยหลักทางแพทย์แผนปัจจุบัน โดยพบว่าส่วนมากผู้ป่วยไปเน้นหนักทางด้านการใช้ยามากจนเกินไป ทำให้ผลที่ได้ออกมาไม่บรรลุตามเป้า หลายครั้งผู้ป่วยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแพทย์จึงยังไม่ปรับยาเพิ่มขึ้น หรือทำไม แพทย์จึงพยายามพูดจาน่ารำคาญซ้ำไปมาในเรื่องเดิมๆ

 

ก่อนอื่นเรามาดูกันครับว่าหลักการรักษาตามแบบแผนของการแพทย์แผนปัจจุบันมีอะไรบ้าง

 

3. รักษาที่ปลายเหตุ สำหรับความดันโลหิตสูง หากผู้ป่วยรายใดที่มีระดับความดันโลหิตสูงมากจนอาจจะถึงระดับอันตราย หรือมีโรคแทรกซ้อนจากความดันแล้ว แพทย์ก็จะให้ ยาลดความดัน และ ยาตามอาการ/ยารักษาโรคแทรกซ้อนนั้น

2. รักษาที่ตัวโรค เมื่อหลอดเลือดผิดปกติและเกิดความดันสูงขึ้น ร่างกายจะอยู่ในสภาพที่มีเกลือและน้ำคั่งมากเกินปกติ การรักษาที่ทำในช่วงนี้ก็คือการให้ยาเพื่อขับน้ำและเกลือออกจากร่างกาย ต้องลดเกลือที่บริโภคเข้าไปในร่างกาย และจะต้องลดสาเหตุอื่นๆที่ทำให้ความดันโลหิตสูงไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า

1. รักษาที่ต้นเหตุ เนื่องจากสาเหตุหลักของความดันสูงคือหลอดเลือดแดงแข็งตัว ดังนั้นการป้องกันความดันสูงก็คือการออกกำลังกายและการกินอาหารที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดไขมันและน้ำตาลสูงจนเกินไป และต้องลดสาเหตุอื่นๆที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า

 

ในการรักษาแผนปัจจุบัน ปกติแล้วแพทย์จะมุ่งเน้นการรักษาจากต้นเหตุเป็นสำคัญ ส่วนการรักษาที่ตัวโรคก็จะทำไปพร้อมกันเท่าที่จำเป็น ซึ่งในการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่กว่าที่ผู้ป่วยจะเกิดความดันสูงหรืออาการก็ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ดังนั้นการรักษาที่ต้นเหตุของโรคเพียงอย่างเดียวจึงนับได้ว่าไม่ทันการณ์ จึงต้องใช้การรักษาด้วยยาเข้ามาร่วมด้วย

 

การใช้ยาก็ใช่ว่าจะใช้ได้เสมอ โดยหลักการรักษาความดันโลหิตสูงทั่วไป ถ้าความดันไม่ได้สูงมากแพทย์ก็จะเริ่มการรักษาด้วยการแนะนำการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต เริ่มตั้งแต่การลดการบริโภคเกลือ การเพิ่มการออกกำลังกาย การลดอาหารหวานมันเค็ม การหลีกเลี่ยงบุหรี่และเหล้า หากเริ่มไปแล้วระยะหนึ่งแล้วความดันยังไม่ลดลงแพทย์จึงจะเริ่มให้ยาลดความดันโลหิต

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เมื่อแพทย์ไม่เริ่มให้ยาลดความดัน บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม?

สาเหตุหนึ่งเกิดจากว่า หากความดันยังไม่สูงมากนัก  การรักษาด้วยการแก้ไขสาเหตุก็เพียงพอที่จะทำให้ความดันลดลงแถมยังเป็นการแก้ไขที่แน่นอนกว่า

นอกจากนี้ ยาลดความดันโลหิตทุกตัวยังมีผลข้างเคียง 

 

1. Beta Blocker

ยากลุ่มนี้ลดความดันเลือดโดยการไปยับยั้งตัวรับสัญญาณทางระบบประสาทตัวหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้ความดันเลือดโดยรวมลดลง ซึ่งตัวรับสัญญาณนี้ไม่ได้มีแค่ที่เส้นเลือดอย่างเดียว ดังนั้นผลที่ตามมาจึงทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อาจจะไม่ต้องการได้เช่น หัวใจเต้นช้าลง(หลายคนเลยเอาไปใช้ในการแก้ตื่นเต้นก่อนการพูดหน้าที่ประชุม) เกิดอาการหอบหืดกำเริบได้ในผู้ป่วยหอบหืด หน้ามืดเวลายืน นอนหลับไม่สนิท ฝันร้าย อารมณ์ทางเพศลดลง ฯลฯ

 

2. Calcium Channel Blocker

ยากลุ่มนี้ยับยั้งการไหลของแคลเซี่ยมในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและเส้นเลือดเพื่อลดความดันเลือด ซึ่งเช่นเดียว ผลข้างเคียงก็มี ได้แก่ อาการขาบวมตึง ร้อนวูบวาบตามใบหน้า ท้องผูก หัวใจเต้นเร็ว เหงือกบวมโต

 

3. ACE inhibitor

ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยก็คือ อาการไอ(ไอมากๆ) เวียนหัวมึนงง  โปแตสเซี่ยมในเลือดสูง

 

4. Diuretics

ยากลุ่มนี้ลดความดันเลือดด้วยการขับน้ำและเกลือออกจากร่างกาย ดังนั้นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆก็คือ เกิดอาการกระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย(แพทย์จึงมักให้ตอนเช้าเพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นเพื่อไปถ่ายปัสสาวะตอนกลางคืน) เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ตะคริว

 

เหล่านี้คือตัวอย่างยาลดความดันที่พบบ่อยครับ ยังมียาอีกหลายตัวนอกเหนือจากนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นยา ก็มีผลข้างเคียงอยู่แล้วทุกตัวครับ

 

คำถามที่พบบ่อย

- มียาแผนปัจจุบันที่ผลข้างเคียงน้อยหรือไม่

ยาลดความดันในปัจจุบันมีออกมาใหม่หลายตัวครับ แต่ทุกตัวล้วนแล้วแต่มีผลข้างเคียงทุกตัวทั้งนั้น แต่จะมากน้อยก็แตกต่างกันไปตามการค้นคว้าวิจัย ... ที่สำคัญคือแพงครับ ยกตัวอย่างเช่นในกลุ่ม ACE inhibitor ตัวสามัญที่ใช้กันคือ Enalapril เม็ด 5 มก. ทุนอาจจะไม่ถึงบาท แต่พอมาเป็นยา Valsartan ซึ่งมีอาการไอน้อยลง(ยา ARB ที่คุณสมบัติและข้อบ่งชี้คล้ายๆกับยาACE inhibitor) ราคาทุนกลับสูงขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อเม็ด

หากเปลี่ยนยาเพียงเพื่อลดผลข้างเคียงลง โรงพยาบาลก็จะไม่มีเงินพอไปรักษาอย่างอื่นครับ

- ยาสมุนไพรลดความดันเลือดล่ะ

ปัญหาของเรื่องการใช้สมุนไพรก็คือ ความดันโลหิตสูงถูกนิยามด้วยการใช้เครื่องวัดความดันมาวัด ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่สมุนไพรจะมีตำราบอกว่ามีฤทธิ์รักษาความดันโลหิตสูงได้แต่โบราณ ... ดังนั้นสมุนไพรที่จะนำมาใช้จึงมักใช้ตัวที่มีงานวิจัยในภายหลังหรือมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ... ซึ่งถามว่าจะใช้ได้หรือไม่ก็น่าจะได้ครับ หากแต่ควรจะลองสอบถามแพทย์ผู้รักษาก่อนเพื่อดูว่าเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีเป้าหมายในการรักษาที่ไม่เท่ากัน

ที่สำคัญ สมุนไพรเหล่านี้ก็คือสารเคมีบางชนิดเช่นกัน บางชนิดต้องระมัดระวังในการใช้ก่อนใช้ต้องศึกษาให้ดีก่อนครับ

- ถ้างั้นไม่กินยาลดความดันได้ไหม

หลายคนที่เห็นว่ายาลดความดันสูงมีผลข้างเคียงจึงไม่ยอมกิน ก็ต้องดูกันดีๆครับ เพราะว่าในการเลือกว่าจะกินหรือไม่กินยาต้องชั่งผลดีผลเสียก่อน ... ปกติแพทย์มักจะเลือกหนทางในการไม่ใช้ยาก่อน แต่เมื่อใดที่ผลจากความดันสูงน่ากลัวกว่าการใช้ยาไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจขาดเลือด โรคเส้นเลือดสมอง โรคไต ฯลฯ แพทย์ก็จะให้ยา ดังนั้นการหยุดยาเองจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมครับ

 

ดังนั้นสำหรับผู้ที่ยังไม่ต้องใช้ยาลดความดัน ก็จะมีวิธีการดังนี้ครับ

1. ลดของเค็มและไม่เติมเกลือหรือน้ำปลาลงในอาหาร เนื่องจากโซเดียมถือเป็นส่วนที่ทำให้น้ำอยู่ในร่างกายและเพิ่มความดันโลหิตได้

2. เพิ่มสัดส่วนอาหารจำพวกผักผลไม้ และลดอาหารจำพวกไขมันลง

3. หยุดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่ทำให้ความดันสูงและเพิ่มความเสี่ยงของโรคอื่นๆมากมายมหาศาล

4. ลดการดื่มสุรา (หยุดได้ก็ดีครับ) เพราะการดื่มสุราแบบไทยๆ ก็ไปเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วยเช่นกัน

5. ออกกำลังกายครับ ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง วันละ 30-60 นาที ช่วยลดความดันได้ทั้งนั้น

 

อ้างอิง

1CMAJ. 1999 May 4;160(9 Suppl):S21-8. Lifestyle modifications to prevent and control hypertension.

2. N Engl J Med. 1997 Apr 17;336(16):1117-24.A clinical trial of the effects of dietary patterns on blood pressure. DASH Collaborative Research Group.

Thursday, August 28, 2008

disease checker

เช็คโรค และอาการระบบย่อยอาหาร

เช็คโรค และอาการระบบย่อยอาหาร



น้ำ


อาการปวดท้องตำแหน่งต่างๆ 


           ปวดท้องด้านขวาตอนบนความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้อง มักเกิด จากโรคตับและถุงน้ำดี   

           ปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร แอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลง มา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาการไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้เช่นเดียวกัน บางครั้งโรคต่างๆที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่เป็นแอ่งได้   

           ปวดท้องส่วนกลาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุมาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มขึ้นที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง   

           ปวดท้องด้านซ้ายตอนบนอาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นหมายถึงอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ   

           ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน อาการอักเสบ ของลำไส้   

           ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกันพร้อมกับ อาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis)


กลุ่มอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด  


          อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด (dyspepsia) จะมีอาการหลักคือ เมื่อตื่นเช้าจะสบายท้องดี แต่หลังรับประทานอาหารหรือเมื่อเริ่มทำงานจึงเริ่มอึดอัดท้อง และจะเป็นอยู่หลายชั่วโมง นอกจากนี้เป็นลักษณะอาการปวด จุกเสียด แน่นบริเวณหน้าท้อง เรอเหม็นเปรี้ยว เมื่อเรอแล้วจะสบายขึ้น หากมีอาการมากๆ ท้องจะเกร็ง อาการที่เกิดร่วมด้วยคือ เรอบ่อย ผายลมบ่อย ท้องใหญ่ขึ้น อาจจะมีอาการทั้งท้องผูกและท้องเสียร่วมด้วย ผู้ที่เป็นโรคนี้จะรับประทานอาหารได้ตามปกติ น้ำหนักไม่ลด ส่วนมากมักมีน้ำหนักเกิน


กลืนลำบาก


         "อาการของหลอดอาหารที่สำคัญ คือ อาจเกิดจากก้อนเนื้อ หรือมะเร็ง หรืออาจเกิดจากกล้ามเนื้อหรือระบบการเคลื่อนไหวของหลอดอาหารไม่ดี ระบบประสาทไม่ทำงาน วิธีสังเกตก็คือ ถ้ากลืนแล้วติด โดยเฉพาะตรงกลางอก และต้องสังเกตว่าสิ่งที่กลืนลำบากนั้นเป็นของแข็งหรือของเหลว ถ้าเป็นมะเร็งแรกๆ จะกลืนลำบากเฉพาะของแข็ง เช่นเนื้อสัตว์ ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่ได้รักษา ต่อมาจะกลืนก้อนเล็กๆ หรือแม้แต่ของเหลวอย่างน้ำก็ไม่ได้ จะสำลัก ส่วนการกลืนลำบากที่ไม่ใช่สาเหตุจากมะเร็งแต่เกิดจากการบีบตัวไม่เป็นจังหวะของหลอดอาหารนั้น จะกลืนไม่ได้ทั้งของแข็งและของเหลวแต่แรกเลย และอาจจะเป็นๆ หายๆ สรุปแล้วถ้ากลืนลำบากต้องหาหมอก่อน อย่าสันนิษฐานเอง" 


จุดเสี่ยงโรคฮิตที่ไม่ควรมองข้าม 

แสบร้อนกลางอกตอนกลางคืนส่อกรดไหลย้อน


          "กรดไหลย้อน เป็นกรดจากกระเพาะที่ขึ้นไปในหลอดอาหาร ชาวตะวันตกเป็นมากกว่าชาวเอเชีย แต่ตอนนี้ชาวเอเชียเริ่มเป็นมากขึ้น เพราะไปกินอาหารเหมือนตะวันตก แล้วเริ่มอ้วน เพราะโรคนี้จะเป็นกับคนอ้วน กินแล้วนอน และเกิดจากหูรูดที่หลอดอาหารปิดไม่ค่อยสนิท กรดที่ไหลย้อนขึ้นมานี้อาจทำให้อักเสบ เป็นแผล หรือเลือดออกได้ อาการชัดเจนคือ แสบร้อนกลางอก จะเป็นเวลานอนตอนกลางคืน นอกจากนี้เวลานอนอาจจะไอ สำลัก หอบ ซึ่งอาจทำให้นึกว่าเป็นโรคปอด โรคหัวใจ แต่ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคนที่มีอาการตอนกลางคืนต้องนึกถึงกรดไหลย้อนด้วย" 


           หลังอาหารมื้อหนัก หากยกของหนักหรือว่านอนหงายกรดก็จะไหลขึ้นมาทำให้เกิดอาการแสบได้


โรคแผลในกระเพาะอาหารติดต่อได้


          โรคที่เกิดกับกระเพาะก็มีได้ทั้งโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจจะมีทั้งเลือดออก การอุดตัน หรือทะลุ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแผลที่กระเพาะอาหารกัน สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะเกิดจากการติดเชื้อโรค Helicobacter pylori และการกินยา NSAIDs (Non-steroidal anti-inflammatory drugs)


          สำหรับเชื้อโรค Helicobacter pylori จะอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา มากกว่าในประเทศที่เจริญแล้ว อยู่ในสภาพที่สกปรก แออัดเชื้อโรคจะอยู่ในน้ำ อยู่ในตัวคน ในน้ำลาย อาหารที่อาเจียนออกมาของเด็กๆ ถ้าไม่ติดตอนเด็กมักจะไม่เป็นอีกแล้ว โดยมากเราจะติดโรคนี้ตอนเราเป็นเด็ก บ้านไหนที่ลูกดก ก็จะมีเชื้อโรคนี้ได้ง่าย ซึ่งก็ทำให้เกิดกระเพาะอักเสบ เกิดแผล เกิดมะเร็งได้ ซึ่งหากตรวจพบเชื้อและฆ่าเชื้อนี้ได้ก็จะหาย


          นอกจากนี้ยา NSAIDs ซึ่งเป็นยาแก้ปวด แก้โรคข้อ แก้อักเสบข้อ ซึ่งผู้สูงอายุบางคน คนที่เป็นโรคเกาต์ รูมาตอยด์ โรคกล้ามเนื้ออักเสบ ที่มักจะกินเป็นประจำ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่มีผลต่อกระเพาะ คือทำให้เกิดแผล เลือดออก ทะลุ หรืออุดตัน เพราะฉะนั้นอย่าซื้อยากินเอง


ไอบีเอสไม่ใช่โรค


          ไอบีเอสมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ท้องอืด แน่นท้อง มีลมมาก เรอและผายลมบ่อยๆ อาการจะเป็นๆหายๆ ไปตรวจก็ไม่เจออะไร แต่ไม่หายสักที อาจจะเป็นระยะเวลาหลายเดือนหรือเป็นปีก็ได้ นอกจากนี้หากเครียดหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาการก็จะรุนแรงขึ้นได้


          ไอบีเอสจะมีอาการปวดท้องไม่สบายในท้องซึ่งสัมพันธ์กับการถ่ายอุจจาระ และลักษณะของอุจจาระที่ถ่ายออกมา เช่น เมื่อปวดท้อง พอได้ถ่ายอุจจาระแล้วสบายท้อง หรือได้ถ่ายอุจจาระแล้วท้องเดิน หรือถ่ายอุจจาระแล้วแข็ง


จุกแน่นชายโครงขวาระวังตับอักเสบเรื้อรังและมะเร็งตับ


          สาเหตุของโรคตับอักเสบเรื้อรัง เกิดจากหนึ่งเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี สองเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี สามการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และสี่คือความอ้วน ซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วว่าทำให้ตับแข็งและเป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน นอกจากนี้คนที่ได้รับสารอัลฟาทอกซิน และมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ทำให้เป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน


          หลังจากได้รับเชื้อ เชื้อจะฟักตัวอยู่ 2-3 เดือน ช่วงนั้นจึงอาจไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย อาจมีอ่อนเพลียเล็กน้อย คลื่นไส้ อาเจียน และจะจุกแน่นที่ชายโครงขวาซึ่งเป็นที่อยู่ของตับ ถ้าเกิดมีการอักเสบขึ้นมาก็จะเจ็บที่บริเวณนี้มากขึ้น อาจมีไข้ และตัวเหลือง เมื่อตับวาย เราจะผอม กล้ามเนื้อลีบ ไม่เผาผลาญสารอาหาร ไม่กำจัดสารที่มีพิษ เราก็จะมีพิษสะสมในร่างกายมาก


          "เมื่อเป็นตับอักเสบ เป็นตับแข็ง จะทำให้เป็นมะเร็งได้ในที่สุด แม้จะทำการรักษาหรือหยุดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้ว แม้ไวรัสจะหายไปแล้ว แต่ตับแข็งจะดำเนินไปเรื่อยๆจนวันหนึ่งจะเป็นมะเร็งได้ สาเหตุของมะเร็งจึงมาจากตับแข็ง สาเหตุของตับแข็งมาจากสี่สาเหตุข้างต้น"


ผลไม้



แน่นท้องหลังกินอาหารไขมันสูงอาจเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี


          "โรคนิ่วในถุงน้ำดีนี้มักเป็นกับผู้หญิงอ้วน อายุ 40 ขึ้นไป กินอาหารไขมันสูง หรือมีลูกดก เพราะการตั้งครรภ์แต่ละครั้งถุงน้ำดีจะไม่ค่อยบีบตัว แต่จะนิ่ง พอนิ่งก็ตกตะกอน ทำให้เกิดนิ่วได้"


          บางคนหลังทานอาหารจะอึดอัดเหมือนอาหารไม่ย่อย และมักจะเป็นหลังทานอาหารไขมันสูง สังเกตได้จากความรุนแรงของอาการ คือ ยิ่งถ้าทานอาหารที่มีไขมันเข้าไปมากๆ ก็จะรู้สึกแน่นมากขึ้น ถ้าเกิดนิ่วที่ไปอุดท่อน้ำดีจะปวดที่ชายโครงขวา อาจร้าวไปถึงไหล่ขวาได้ ปวดท้อง ถ้าเกิดนิ่วอุดที่ท่อน้ำดีก็จะมีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง อาจจะทำให้เป็นถุงน้ำดีอักเสบได้


อุจจาระผิดปกติเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก


          "กลุ่มเสี่ยงของโรคนี้คือผู้ชายอายุ 50 ขึ้นไป ที่กินมันสัตว์เยอะ กินเนื้อสัตว์เยอะ ท้องผูก ไม่ออกกำลังกาย และมีพฤติกรรมสูบบุหรี่"


          อาการที่ส่อว่าจะเป็นมะเร็งคือ ปวดท้อง อาเจียน ไม่ผายลม ท้องผูกไม่ถ่ายอุจจาระ ถ้าเกิดก้อนเนื้อที่ด้านซ้ายจะมีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย และอุจจาระลำเล็กลง หรือเป็นก้อนเล็กๆ เพราะก้อนมะเร็งทำให้ลำไส้อุดตัน ถ้ามะเร็งเกิดที่ด้านขวามักจะคลำเจอก้อน ถ้าเกิดก้อนในส่วนลำไส้ใหญ่ส่วนตรงจะทำให้ปวดทวารหนัก ความรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด ถ่ายเป็นเลือด นอกจากนี้อาจมีก้อนออกมาทางทวารหนัก ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต


ปวดเบ่งต้นทางโรคริดสีดวงทวาร  


          "เกิดจากหลอดเลือดดำของบริเวณลำไส้ใหญ่โป่งพองหรือยื่นออกมา สาเหตุ หนึ่งคือปัจจัยทางพันธุกรรม สองคนที่ต้องยืนหรือนั่งนานๆ เพราะเลือดไหลกลับเข้าช่องท้องได้ไม่ค่อยดี จะคั่งอยู่บริเวณปลายลำไส้ใหญ่"


          อาการเริ่มแรกจะมีอาการปวดเบ่ง เหมือนอยากถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก ขณะถ่ายอุจจาระ มักมีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน ระคายเคืองและรู้สึกไม่สบายบริเวณทวารหนัก


          ถ้าทานอาหารกากใยน้อยจะทำให้การขับถ่ายไม่ดี เวลาเราถ่ายจะต้องเบ่งเยอะ ทำให้ความดันในช่องท้องสูง ทำให้เส้นเลือดในบริเวณก้นมันโป่ง


ฟื้นฟูเพื่อระบบย่อยแข็งแรง


          โดยรวมอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารอันดับหนึ่ง คือ อาหารที่มีกากใยสูงก็มีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้นค่ะ เพราะอาหารที่มีกากใยสูงเปรียบเสมือนไม้กวาด ที่คอยทำความสะอาดลำไส้ ตับ และระบบ ย่อยอาหารให้ทำงานดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า


          อาหารที่มีเอนไซม์ก็ดีต่อการช่วยย่อยเช่นกัน เช่น สับปะรด ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์สูงช่วยย่อยโปรตีน ช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร มะละกอ มะม่วง มีเอนไซม์ชื่อปาเปนที่มีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร ช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหารได้ดี


          นอกจากนี้อาหารบางประเภทก็มีประโยชน์ในการเยียวยาโรคบางชนิดได้ เช่น โยเกิร์ต ถั่วเมล็ดแห้ง สลัดใบเขียว มันเทศ ผลไม้ต่างๆ แครอท ก็มีประโยชน์ต่อโรคลำไส้แปรปรวนโดยตรง เพราะโยเกิร์ตมีแบคทีเรียตัวดีที่ช่วยให้แบคทีเรียฟลอราในลำไส้เจริญเติบโต ซึ่งช่วยบรรเทาอาการของลำไส้แปรปรวนได้ ขณะที่ถั่วเมล็ดแห้ง สลัดผักใบเขียว มันเทศ มีใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำช่วยป้องกันอาการท้องผูก ส่วนผลไม้ต่างๆ และแครอทซึ่งมีเส้นใยอาหารละลายน้ำจะช่วยลดอาการท้องร่วงในผู้ที่เป็นโรคนี้ได้


          สำหรับภาวะกรดไหลย้อน ก็มีถั่วเมล็ดแบน มันฝรั่ง ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดขาว มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่กระเพาะย่อยได้ง่ายก็ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนที่อก ยอดแค ถั่วเมล็ดแห้ง ผักต่างๆ ช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ช่วยลดน้ำหนักได้ และบรรเทาอาการแสบร้อนที่อกได้เช่นกัน


          นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า อาหารประเภทเต้าหู้ ถั่วเมล็ดแห้งโดยเฉพาะถั่วที่มีสีแดงและสีขาว มีส่วนช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารได้ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากดัชนีมวลกายทั้งชายและหญิง โดยน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง ให้ได้ดัชนีมวลกายไม่ให้เกิน 23 วัดรอบเอวดู ผู้หญิงรอบเอวไม่เกิน 80 เซนติเมตร ผู้ชายไม่เกิน 90 เซนติเมตร การออกกำลังกายที่ดีต่อระบบย่อย น่าจะเป็นการเดินหรือการวิ่งเพราะจะได้เคลื่อนไหว ทำให้ระบบดียิ่งขึ้น ถ่ายยอุจจาระก็ง่ายขึ้นด้วย 

warning+noodle!

พบมหันตภัย เส้นก๋วยเตี๋ยว 


คลิกเพื่อขยายภาพ

ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อวันที่ 28 ส.ค. นายบัณฑิต อินณวงศ์ และนายโสภาค สอนไว ภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับนางกาญจนา เศรษฐนันท์ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายวีระชัย แก่นทรัพย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมแถลงข่าว "งานวิจัยมหันตภัยร้ายแฝงเร้นในก๋วยเตี๋ยว"


นายโสภาคกล่าวว่า ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารยอดนิยมของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นคนทำงาน เด็ก นักเรียน นักศึกษา เนื่องจากสะดวกรวดเร็ว ราคาไม่แพง หารับประทานได้ง่าย ในแต่ละวันจะมีการบริโภคก๋วยเตี๋ยว 1-3 มื้อ หรือคิดเป็นปริมาณสูงถึงวันละ 1.5 กิโลกรัมต่อคน ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ศึกษาวิจัยข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเส้นก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่ปี 2549-2551 โดยสำรวจกรรมวิธีการผลิตของโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวจำนวน 10 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผลิตได้มีการกระจายส่งตามร้านค้าต่างๆ กว่าร้อยละ 50-60 ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย พบว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวมีอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากมีการใช้น้ำมันทอดซ้ำในกรรมวิธีการผลิต ซึ่งจะทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียวนุ่ม ตัดง่าย โดยเส้นใหญ่พบมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ เส้นเล็ก เส้นก๋วยจั๊บ เส้นหมี่ที่ไม่ใช่เส้นหมี่อบแห้ง 


นายโสภาคกล่าวต่อว่า เส้นใหญ่จะใช้น้ำมันในปริมาณสูงกว่าเส้นอื่นๆ ร้อยละ 5-8 เพื่อป้องกันการเกาะติดและจะช่วยให้ขยี้ให้แตกเป็นเส้นได้ง่าย เห็นได้จากเวลาไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่จะมีน้ำมันเยิ้มที่ตัวเส้นและติดตามถุง ซึ่งไม่มีทางทราบว่าเป็นน้ำมันเก่าหรือใหม่ แต่การใช้น้ำมันเก่าที่ผ่านการทอดซ้ำมาหลายๆ ครั้ง หรือนำมาผสมกับน้ำมันพืชใหม่ จำพวกน้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วลิสง จะทำให้มีความหนืดสูง ผู้ผลิต รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าก็ชอบมาก แต่การใช้น้ำมันเหล่านี้มีอันตรายมาก เพราะมีการสะสมของสารประกอบมีขั้ว หรือสารโพลาร์ ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์และเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดและหัวใจ นอกจากนี้ น้ำมันที่ใช้ทำเส้นก๋วยเตี๋ยวยังอาจปนเปื้อนของสารอะฟลาท็อกซิน ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ มะเร็งตับ รวมทั้งโรคลาย ซินโดรม ในเด็กก่อนวัยเรียนจะมีอาการไข้ ปวดท้อง อาเจียน ชัก สมองบวม และตายภายใน 24-72 ชั่วโมง 


ด้านนายบัณฑิตกล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวมีวัตถุกันเสียมากมาย ทั้งกรดเบนโซอิค ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ กรดโพรพิโอนิค เพื่อยับยั้งเชื้อราและจุลินทรีย์อื่นๆ ซึ่งตามมาตรฐานที่กำหนดให้ใช้ทุกๆ ตัวรวมกันต้องไม่เกิน 1,000 ppm แต่จากการสำรวจพบว่าโรงงานส่วนใหญ่ผลิตเกินมาตรฐานทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิตยังพบว่ามีการใส่สารส้มหรืออะลูมิเนียม อะลัม ซึ่งตามมาตรฐานทั่วไปไม่ได้มีข้อกำหนดไว้ แต่ในมาตรฐานน้ำดื่มบรรจุขวด กำหนดว่าต้องไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่จากการศึกษาในเส้นก๋วยเตี๋ยว มีปริมาณอะลูมินัมอยู่ถึง 620 ppm หรือ 620 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ถือว่าอันตรายต่อสุขภาพมาก เนื่องจากในต่างประเทศพบว่า หากรับประทานอะลูมินัมตั้งแต่ 50-200 ไมโครกรัมต่อลิตร จะส่งผลต่อระบบประสาท อาจก่อให้เกิดการอักเสบของไตและกรวยไต มีผลต่อระบบกระดูกได้ 


"เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผ่านการลวก อาจช่วยชะล้างน้ำมันเก่า หรือสารปนเปื้อนต่างๆ ออกไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาอยู่ที่เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไปทำราดหน้า ผัดซีอิ๊ว จะได้รับสารอันตรายเต็มๆ ที่สำคัญขณะนี้ยังพบว่ามีการใช้สารละลายบางชนิดที่มีลักษณะคล้ายน้ำมันที่เรียกว่าหัวเชื้อ เพื่อนำมาทาเส้นก๋วยเตี๋ยวอีกรอบ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น หล่อลื่นมากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่มีใครทราบว่าสารละลายดังกล่าวมีส่วนประกอบของอะไร ดังนั้นทีมวิจัยจะมีการศึกษาเพิ่มเติม และจะมีการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้ง อย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ประกอบการทั่วประเทศ มาหารือถึงปัญหาดังกล่าว เพื่อหาแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุงกรรม วิธีการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ในวันที่ 28 ต.ค.นี้ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์" นายบัณฑิตกล่าว 

increase immunize

เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วย "ถั่วแขก"..... upgrade the immunize by this bean
 

เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วย "ถั่วแขก" increase the immunize by the Thai bean

       "ถั่วแขก"  the Thai bean are the good taste bean yummy. good for ingredients the food. Mostly they are mixing with the meat
those making many good dishes. 
เป็นถั่วกินทั้งฝักอีกชนิดหนึ่งที่มีรสชาติอร่อย เคี้ยวกรุบกรอบ จึงมีคนนิยมนำถั่วแขกมาประกอบอาหารกันมาก โดยมากมักนิยมนำมาทำเป็นผัดกับเนื้อสัตว์ต่างๆ ซึ่งก็เป็นอาหารจานโปรดของหลายๆคนด้วยเช่นกัน 
 the bean 100 gram= given energies 27 kilograms. Mostly are 1.9 gram of Protein , 0.1 gram of cholesterol. 4.5 gram of carbohydrate, 78 gram of Calcium, 78 gram of Phosphorus, 3.8 gram of steel, 0.07 milligram of Vitamin B1, 0.09 milligram of Vitamin B2, 0.6 milligram Niacin, 32 milligram of Vitamin C.   .
     ถั่วแขกนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิด โดยถั่วแขก 100 กรัม จะให้พลังงาน 27 กิโลแคลอรี โดยจะมีโปรตีน 1.9 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.5 กรัม แคลเซียม 78 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 45 มิลลิกรัม เหล็ก 3.8 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.07 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.09 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 32 มิลลิกรัม 
another things they are making the immunize stronger. It contains PHA that making your body stronger. too.
It forces the immunizer called interferon.
อีกทั้งในถั่วแขกยังสามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ด้วย เพราะมีสารสำคัญอย่างสารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ สารทริปซิน และยังมีสารพีเอชเอ ซึ่งช่วยชะลอความแก่ชรา ป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วย และจะช่วยเร่งการสร้างสารภูมิคุ้มกันที่เรียกกันว่า อินเตอร์เฟอรอน (Interferon) 

     ทางการแพทย์จีนยังได้กล่าวถึงสรรพคุณของถั่วแขกไว้ว่า   
Chinese meditation has said that
     สามารถช่วยส่งเสริมการรักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด สามารถช่วยรักษามะเร็งในเม็ดเลือด ช่วยเสริมการรักษาโรคโลหิตจางชนิดไม่สร้างเม็ดเลือด ช่วยเสริมการรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรัง ช่วยเสริมการรักษาโรคไข้เลือดออก และช่วยเสริมการรักษาภาวะเม็ดโลหิตขาวต่ำ 
Cure many kind of cancer. blood cancer, Leukemia,and stomach problems, and low white blood pressure.
     มีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า  การกินถั่วแขกให้ได้ประโยชน์นั้น ต้องนำเอาไปทำให้สุกเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้ประโยชน์ ก็จะได้อาหารเมาพิษถั่ว เวียนหัว คลื่นไส้อาเจียนมาแทน 

Wednesday, August 27, 2008

netural care

การใส่ใจดูแลสุขภาพ ด้วยวิธีธรรมชาติ
ชาหอมภูต้นน้ำเป็นชาสมุนไพรมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติมอบให้ เพื่อรักษาสุขภาพให้สมดุล อายุยืนยาวเพราะชาหอมสมุนไพรประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีคุณค่าหลายชนิดมารวมกันอยู่ในสัดส่วนที่พอดี ทำให้มีผลต่อการรักษาภาวะกรด-ด่างที่สมดุลในร่างกาย ซึงเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการล้างพิษออกจากร่างกาย มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์สมองจนกระทั่งแสดงอาการของโรคอัลไซเมอร์ในคนสูงอายุหรือ...เซลล์เกิดกลายพันธ์ เป็นต้นเหตุของการเกิดเนื้อร้าย หรือมะเร็งได้
นอกจากนี้ ชาหอมภูต้นน้ำ เป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมสรรพคุณของสมุนไพรต่างๆ ที่มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบย่อย การดูดซึมอาหาร ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท หรือช่วยลำเลียงสารอาหาร ไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และช่วยขับของเสีย ลดไขมัน น้ำตาลในเลือด ลดความดันบำรุงเลือด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ ขับลม บำรุงหัวใจ และลดความร้อนในร่างกาย แก้ไข้ แก้เจ็บคอได้เป็นอย่างดี
Health Care by Natural Technique: Putonum
Aroma Tea is amazing herbal tea provided by natural for treating health problem, balancing body and giving long life. Because herbal tea is comprised of a combination of worthy herbs in well proportion, consequently it gives you the treatment for balancinf body condition that is important for detoxing process. It acts to inhibit free radicals could damage brain cells until the symptom of Alzheimer’s disease appeared in elders or cells are mutated and causing malignant tumor or cancer.
Moreover, Putonnam Aroma Tea is a product combined with properties of herbs that helps to stimulate digestion system and nutrient absorption, relax nervous system or transport nutrient to support all parts of the body and helps release waste from blood, reduce fat in blood vessel, reduce sugar level in blood reduce blood pressure, nourish blood, release urine and sweat, release gas, nourish heart, reduce heat of the body, relieve fever, remedy neck pain effectively.

Search here